Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาชีพที่ยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย ครูพลศึกษา

      

   เมื่อได้เริ่มเข้ามาเรียนที่คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแล้ว ก็ต้องตกใจครับว่า ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มศว มี 2 วิทยาเขต คือ องครักษ์และประสานมิตร แล้วก็ไม่ทราบอีกเช่นกันด้วยว่าต้องเรียนที่ องครักษ์ จังหวัดนครนายก 2 ปี คือปี 1 และปี 2 แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรสำหรับผมมากนะ เมื่อเริ่มเรียนไปได้สักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันสนุกและมีความสุขมากกับการเรียน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราได้คะแนนดี เราเลยรู้สึกว่าการเรียนไม่มีปัญหา ผมอาจจะค่อยข้างโชคดี เนื่องจากตอนมัธยมอย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วว่า

บัตรนิสิต

ผมเรียนในสายวิทย์-คณิต เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ จะเกี่ยววิทยาศาสตร์ ได้แก่ กายวิภาคศาสตร์ เคมีทางพลศึกษา กลศาสตร์ ซึ่งมีเพื่อนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เรียนสายวิทย์-คณิต มาจึงทำให้เวลาเรียนวิชาดังกล่าวแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยาก แต่กับตรงกันข้ามกับผม 

..............รับน้อง..............
  การเรียนพลศึกษามันให้อะไรต่างๆมากมาย สิ่งที่ได้แน่นอนเลยคือ เรื่องของร่างกาย ขณะที่เรียน ปี 1-2 จะรู้สึกได้ว่าร่างกายช่วงนั้นเนี้ยแข็งแรงมาก เมื่อร่างกายแข็งแรงก็ไม่เจ็บป่วยแล้วยังทำให้ จิตใจร่าเริงแจ่มใสตามไปด้วย จุดเด่นของเด็กพลศึกษาก็คือเรื่องของ
สัมคารวะที่มีต่ออาจารย์ไม่ว่าจะสอนเราหรือไม่ได้สอนเรา เราไหว้หมดครับรวมไปถึงเจ้าหน้าที่หรือพนักงานในมหาลัย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยอีกหนึ่งอย่างคือ ความสามัคคีในหมู่คณะ เด็กพลศึกษาจะมีความรักกันใคร่ในหมู่เพื่อนค่อนข้างมาก ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ต้องคิดไว้เสมอเลยคือ อนาคต เมื่อเรียนจบ เราจะไปทำอะไรดี แล้วเรียนจบพลศึกษามันทำอะไรได้บ้าง


       โดยที่ไม่ได้สนใจความฝันที่จะไปทำงานฟิตเนส เหมือนกับช่วงของ  มัธยม ในเวลาเรียนท่านอาจารย์หลายๆท่าน มักจะถามเสมอๆว่า เมื่อจบแล้วจะไปทำอะไร อาชีพที่เพื่อนยกมือกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น "อาชีพครูพลศึกษา" เมื่อผมเห็นเพื่อนยกมือกันเยอะ เราก็ยกมือไปตามเพื่อนๆ นั้นล่ะ เพราะตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร นอกจากเป็นครู แต่ผมและเพื่อนๆก็ทราบดีอยู่ว่าเมื่อเรียนจบ เราจะไม่ได้ใบประกอบวิชาชีพครู เพราะเราเรียน 4 ปี ได้วุฒิการศึกษาคือ วิทยาศาสตรบัณฑิต ถ้าไปเป็นครูก็เป็นเพียง "ครูอัตราจ้าง" ไม่สามารถบรรจุได้ เมื่อเวลาผ่านมาถึงช่วงปี 4 ปีสุดท้ายของการเรียนต้องตัดสินชะตาชีวิตตัวเองแล้ว ว่าควรจะเดินไปทางไหน จะเอายังไงกับชีวิตดีว่าเนี้ย


ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จะต้องเลือกสถานที่ในการฝึกงานหรือฝึกสอนในโรงเรียน เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เทอม ถ้าผมจำไม่ผิด เส้นทางที่ผมเลือกในตอนนั้นคือ การไปฝึกงานที่ฟิตเนส เหตุผลที่เลือกไปฝึกงานเพราะว่า ไปฝึกสอนในโรงเรียนอย่างไรก็ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูอยู่ดี เมื่อเวลาผ่านไปผมฝึกงานครบระยะเวลาตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ ผมก็คิดว่าจะหางานอะไรทำดีหรือสมัครงานฟิตเนส เพราะเราได้ฝึกงาน เรียนรู้ทราบทุกอย่างแล้วว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง  และที่สำคัญเลยคือ เงินเดือนดีอีกต่างหาก เมื่อผมเรียนจบ สิ่งแรกที่ผมทำคือ การบวชทดแทนบุญคุณบิดามารดา หลังจากที่บวช ผมก็ตั้งใจที่จะไปสมัครงานตามฟิตเนส แต่ช่วงที่ว่างอยู่นั้น ก็ไม่รู้ทำไร ผมก็เลยไปฝึกหัดขับรถ ในขณะที่ฝึกอยู่นั้นเอง 
ฝึกงานจบแล้วครับท่าน

ก็ได้มีโทรศัพท์จากท่านอาจารย์พิมพา ม่วงศิริธรรม ผมก็เลยรีบรับทันที ท่านอาจารย์ถามผมว่า "สนใจที่จะเป็นครูไหม มีโรงเรียนว่างอยู่สนใจไหม" ผมก็ถามกลับไปกับอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับผมไม่ได้ฝึกสอนมานะครับ ผมจะไปเป็นครูได้เหรอครับ" ท่านอาจารย์บอกว่าก็ลองไปดูๆก่อน แล้วชอบหรือไม่ชอบอย่างไรค่อย ว่ากัน ผมก็ได้ไปสมัครเป็นครูสอนพลศึกษาตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ โรงเรียนที่ผมไปสมัครก็คือ "โรงเรียนนวลวรรณศึกษา" เป็นโรงเรียนเล็กๆ มีสถานที่ในการออกกำลังกายจำกัด และที่หน้าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือ ทั้งโรงเรียนมีครูพลศึกษาเพียงคนเดียว เมื่อผมได้ทราบข้อมูลต่างๆ ของโรงเรียนจากครูใหญ่(เจ้าของโรงเรียน) สิ่งที่คิดเป็นอันดับแรกเลยคือ จะพัฒนาพลศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้อย่างไรได้บ้าง สิ่งที่คิดได้ ณ ตอนนั้นคือ โรงเรียนจะต้องมีทีมกีฬาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักเรียนที่มีความสามารถ  ปัจจุบันนี้ผมก็ทำสำเร็จแล้ว โดยมีทีมฟุตซอล 1 ทีม และทีมแชร์บอลอีก 1 ทีม เป้าหมายต่อไป จะต้องพัฒนาทั้งตัวเองและโรงเรียนควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่องต่อไป
 
               ไม่น่าเชื่อ.....ไม่เคยคิด.......ไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะได้มาเป็น"ครูพลศึกษา" เมื่อเป็นครูแล้วรู้สึกได้เลยว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก 
ลูกศิษย์รุ่นแรก นวลวรรณศึกษา

         " การทำงานเป็นครูกับการทำงานเป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนทั่วไป การทำงานเป็นลูกจ้างวันหนึ่งวันใด คุณป่วย คุณหยุดงาน แต่งานที่บริษัทของคุณ เค้าก็ทำงานและดำเนินงานได้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีคุณมาทำงาน งานไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก แต่ตรงกันข้ามกับอาชีพครูอย่างสินเชิง เมื่อครูหยุดหนึ่งอาจจะเนื่องด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ครูเคยคิดว่าไหมว่า เด็กๆกี่คนที่รอที่จะมาให้ครูสอน กระบวนการเรียนการสอนในวันนั้นก็ไม่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นวิชาพลศึกษาด้วยแล้ว เป็นวิชาที่เด็กๆรอคอย และอยากเรียนมากที่สุด" ครูพลศึกษาลองเก็บไปคิดดูนะครับ

.............................รักพลศึกษา และรักอาชีพครู..................

สร้างคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ ต้อง พลศึกษา มศว


กิจกรรมกายบริหารตอนเช้า ก่อนเข้าห้องเรียนครับ 
โรงเรียนนวลวรรณศึกษา(ที่ทำงานแห่งแรกของครูพลศึกษาคนนี้)

5 ความคิดเห็น:

  1. เขียนได้ดีมากครับเพื่อนต่าย...ทำให้คิดถึงตอนนั้นเลย^^

    ตอบลบ
  2. เขียนได้ดีมากจร้า

    ตอบลบ
  3. ดีทีสุดอ่ะเพื่อน

    ตอบลบ
  4. เขียนได้ดีมากคับ ผมจะเอาคำพูดและหลักการของพี่ไปใช้ในการสอบสัมภาษณ์และให้ได้เข้าเรีบนในมหาวิทยาลัยจันทรเกษมนะคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

      ลบ