ครูมาแล้วๆ เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ในสมัยเราเรียนระดับประถม เรามักจะส่งเสียงบอกหรือตะโกนกันในห้องที่แสนสนุกสนาน ขณะที่ครูไม่อยู่
เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งมองเห็นว่า ครูกำลังเดินมาที่ห้อง เราก็ ต่างตะโกนบอกต่อๆกันว่า "ครูมาแล้วๆ " หลังจากที่พวกเราได้ยินเสียงเพื่อนบอกอย่างนั้น ทุกคนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งเล่นบนโต๊ะ บ้างก็วิ่งเล่นไล่จับกันในห้อง จำเป็นต้องกับไปที่โต๊ะนั่งของตนเอง ทันใดที่ครูก้าวเท้าเข้าสู่ห้อง ห้องเรียนที่เสียงดัง เด็กที่วิ่งเล่นกัน ต่างก็ต้องสงบเงียบไปตามระเบียบ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขั้น สถานการณ์ดังกล่าวผมเชื่อได้เลยว่า เราที่ได้เรียนในโรงเรียนทุกคนย่อม เคยผ่านเรื่องเล่าที่แสนจะสนุกดังกล่าวมาแล้ว
คำท้อปฮิต ติดปากและใช้กับอยู่บ่อยๆ ในหมู่เด็กๆทุกยุคทุกสมัย ก็คือคำว่า "ครูมาแล้วๆ "
แต่ใครจะเชื่อเล่าว่า คำว่า "ครูมาแล้วๆ " จะสามารถทำให้ครูพลศึกษาตัวเล็กๆ อย่างผม นั้น
น้ำตาซึม และเก็บไปคิดอยู่หลายวันพอสมควร
เหตุการณ์ที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เกิดในวันอังคาร (ส่วนวันที่เท่าไรนั้นผมจำไม่ได้) ในวันนั้นเอง เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกในยามเช้าดังขึ้น ผมตื่นขึ้นมา มีอาการมึนหัวมากและเจ็บคอมากคิดแล้วคงจะไปทำงานไม่ไหวแน่ๆ
จึงตัดสินใจโทรไปแจ้งกับทางโรงเรียนว่าขอลาป่วย 1 วัน ซึ่งเป็นความโชคดีที่ว่า โดยปกติผมเองในวันอังคารจะมีสอนวิชาว่ายน้ำ ของเด็กระดับปฐมวัย คือ ชั้นอนุบาล 2 ในสัปดาห์นี้เนี้ย ทางโรงเรียนให้งดสอนวิชาว่ายน้ำ เนื่องจากป้องกันนักเรียนเป็นโรคมือ เท้า ปาก เพราะทางกระทรวงประกาศมา
ผมจึงได้นอนพักผ่อนและไม่ต้องเป็นห่วงงานที่โรงเรียนมากนัก เพราะถ้าขาดครู
โดยปกติ ทางโรงเรียนก็จะต้องจัดครูคนอื่นเข้าไปสอนแทน เมื่อผมนอนไปได้สักพัก อาการของผมก็ดีขึ้น ด้วยความที่งานที่โรงเรียนยังมีงานค้างอีกมากพอสมควร และช่วงบ่าย
ผมยังมีสอนอีก 2 คาบ 2 คาบที่ว่านี้มีวิชาพลศึกษา สอนเด็กป.2 และวิชาวิทยาศาสตร์ สอนป.3 จึงตัดสินใจที่จะไปทำงานดีกว่า
โดยขับเจ้า 2 ล้อพาหนะคู่ใจ ฮอนด้า เวฟ เพื่อไปโรงเรียนอย่างรวดเร็วเพื่อให้ไปให้ทันสอนคาบวิชาพลศึกษา
เมื่อผมไปถึงโรงเรียนก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก มาถึงก่อนเวลาสอนเสียอีกเมื่อไปถึง ก็ตรงกับช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันพอดี
การรับประทานอาหารของเด็กนักเรียน เด็กจะต้องเดินไปรับถาดอาหารและไปต่อแถวเพื่อรับอาหาร ระหว่างทางที่ผมจะเดินขึ้นห้องเพื่อเอากระเป๋าและสำภาระต่างๆ ไปวางบนห้อง ก็ต้องเดินผ่านไปบริเวณที่เด็กๆ ตั้งแถว
ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปนั้น เด็กป.2 ก็ได้เดินลงมาจากอาคารเพื่อจะลงมาทานอาหาร สิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดเดินโดยทันที่นั้นก็คือ เด็กป.2 เมื่อเห็นผม เค้าตะโกนบอกกับเพื่อนๆว่า
"ครูมาแล้วๆ ดีใจจังเลย พวกเราได้เรียนพละแล้ว" คนที่ได้ยินต่างก็ ร้องเย่ กันเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง เสียงนั้นมันทำให้ผมน้ำตาแทบไหลออกมาก ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ความรู้สึกที่ว่ามันทำให้น้ำตาจะไหลออกมา ด้วยความรักจากหัวใจดวงน้อยๆของเด็กๆ ที่ตั้งตารอคอยในการเรียนวิชาพลศึกษา
แต่ครูพลศึกษาอย่างเราต้องห้ามร้องไห้ให้เด็กนักเรียนเห็น ผมจึงรีบเดินเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง จากนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่ครู่ใหญ่
สิ่งที่ผมคิดคือ "การเป็นครูพลศึกษาหรือครูวิชาใดก็ตาม การที่ครูขาดสอนหรือติดธุระไม่สามารถมาสอนได้ จะทำให้นักเรียนที่อยากเรียน รอคอยที่จะได้เรียนวิชาที่ตนเองชอบเรียนกับครูที่ตนเองรัก โดยเฉพาะวิชาพลศึกษาที่มีเพียง 1 คาบต่อหนึ่งสัปดาห์ ในระดับประถมศึกษา เค้าเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไร และเสียใจขนาดไหน เมื่อเค้าไม่ได้เรียนในวิชาที่รอคอยและชื่นชอบ "
เพียงเพราะครูคิดถึงแต่เรื่องของตนเองเป็นหลัก จึงทำให้ลืมมองไปว่า เด็กยังรอคอยคุณครูอยู่นะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น