กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเกิดความเบื่อหน่ายในอาชีพของคุณหรืออะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่ กำลังใจจากคนรอบข้างล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ดีๆนั้นต่อไป การเป็นอาจารย์หรือครู ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องอาศัยกำลังใจ นอกจากกำลังใจที่สำคัญจากครอบครัวแล้วนั้น กำลังใจที่จะช่วยทำให้ครูมีแรงที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมาโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับการสอนหนังสือ กำลังใจจากลูกศิษย์เป็นสิ่งที่สำคัญมากและเป็นแรงผลักดันกระตุ้นให้ครูสร้างสรรค์สิ่งดีๆต่อไป กำลังใจที่ผู้จะพูดถึงคือการที่สอนอะไรให้กับเด็กไปสักอย่าง แล้วเค้าได้นำไปปฎิบัติในชีวิตประจำวัน เรื่องมันมีอยู่ว่า
ผมเองเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ผมเองก็ได้รับมอบหมายให้สอนอยู่หลายวิชา แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรายวิชาที่ตนเองถนัด ในสายของวิชาพลศึกษา แต่พอมาถึงเมื่อเทอมที่แล้ว ผมถูกจัดให้สอนวิชาที่เป็น รายวิชาทั่วไป รายวิชานั้นคือ การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม เมื่อทราบดังนั้น เฮ้ย มันคือรายวิชาอะไรว่ะ แล้วจะสอนเด็กยังไงดี เวลาในการสอนก็น้อย 2 ชั่วโมง แถมที่แย่กว่านั้นจะต้องไปสอนที่ มหาลัยอีกแห่งหนึ่ง (มหาวิทยาลัยมี 2 แห่ง) ที่สำคัญคือ ไม่มีสนามกีฬาให้ออกกำลังกายซะด้วย มีแต่ตึกและที่โล่งๆ มิหน่ำซ้ำ แดดร้อนสุดๆ ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่มี เอายังไงล่ะครับที่นี้ อาจารย์ ผมก็ต้องคิดต่อไปว่าแล้วจะทำอย่างไร เด็กถึงจะได้ออกกำลังกาย โดยที่เราอาจารย์ผู้สอนไม่สามารถเช็คได้เลย ว่าเด็กส่วนใหญ่ได้ออกกำลังกาย ผมก็เลยต้องออกแบบการสอนใหม่หลังจากที่ได้พบเจอเด็กในครั้งแรกแล้ว ผมเป็นอาจารย์ที่ไม่มีแบบแผนในการสอนเด็ก ผมจะปรับเปลี่ยนไปตามผู้เรียนเสมอ โดยเน้นผู้เรียนเป็นหลัก จริงๆเค้าก็มีแผนการสอนให้นะครับ แต่ผมว่าแผนที่เค้าใช้ต่อๆกันมา มันใช้ไม่ได้กับเด็กทุกกลุ่มหรอกครับ
สำหรับเด็กกลุ่มนี้ นักศึกษาสาขาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 2 ประมาณ 30 คน ถ้าผมจำไม่ผิด พื้นฐานทางกายจากที่พบเจอในชั่วโมงแรกแล้ว รู้สึกว่ามีความหลากหลายมาก มันก็เป็นการบ้านหรือโจทย์ที่ท้าทายพอสมควร แต่สิ่งที่ผมให้เด็กทุกคนทำคือ สมุดบันทึกการออกกำลังกาย โดยใน 1 สัปดาห์จะต้องมีการออกกำลังกายอย่างน้อยที่สุด 3 ครั้ง แต่ละครั้งควรเกิน 20 นาทีขึ้นไป มันก็คือหลักการออกกำลังกายทั่วไป จดบันทึกทั้งเทอม แต่ในการออกกำลังกายทุกครั้งจะต้องมีการบันทึกข้อมูล เช่น ออกกำลังกายแบบใด ออกกำลังกายกี่นาที จับชีพจรขณะพักและขณะออกกำลังกาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ รูปภาพการออกกำลังกายเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าได้ออกกำลังกายจริงๆ ถามว่ามีเด็กที่โกงไหม เขียนข้อมูลแต่ไม่ทำจริง ก็มีครับ แต่บางทีผมก็ไม่ค่อยสนใจนะ มีงานมาส่งก็ถือว่าโอเคแล้ว ก่อนที่จะมอบหมายงานให้กับเด็กผมได้บอกจุดประสงค์ของผมไปแล้วคือ
"ผมต้องการให้ทุกคนรักการออกกำลังกายไปตลอดชีวิต"
สมุดบันทึกการออกกำลังกาย ก็ถูกส่งมาที่ผมครบทุกคนเมื่อถึงท้ายเทอม ผมก็มีหน้าที่ให้คะแนนตามสภาพ โดยดูจากสมุดบันทึก มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้มากหรอกครับ เพราะดูจากตัวหนังสือ จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ วิชานี้ก็จบไป
แต่เมื่อมาถึงงานเลี้ยงปีใหม่จัดโดยคณะ ระหว่างที่ผมกำลังรับประทานอาหารกับเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ผมก็ดันมองไปเห็นนักศึกษา 1 คนที่เป็นตากล้องของงาน ผมก็จำได้ว่าเป็นคนเนี้ยเคยเรียนกับผมแต่ก็ไม่ได้อะไร แต่ก็นั้นล่ะครับ เมื่อเด็กคนดังกล่าวเดินผ่านมาทางโต๊ะผม เค้าก็ "สวัสดีครับอาจารย์" "อาจารย์จำผมได้ไหมครับ" ผมก็เลยตอบไปว่า "จำได้สิ คุณเรียนกับผมเมื่อเทอมที่แล้ว" เด็กก็พูดกับผมว่า "อาจารย์ครับทุกวันนี้ผมยังออกกำลังกายทุกวันอยู่เลยนะครับ เป็นเพราะวิชาที่ได้เรียนกับอาจารย์อ่ะครับ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมรักการออกกำลังกาย ถึงกระทั่งวันไหนที่ไม่ได้ออกกำลังกายนะครับ รู้สึกแปลกๆ เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง" ผมก็ตอบกลับเค้าไปว่า "ก็ดีแล้วล่ะ มันได้กับตัวเองทั้งนั้นการออกกำลังกายอ่ะ" เค้าก็"ขอบคุณครับอาจารย์" แล้วก็ไปทำหน้าที่ตากล้องต่อในงาน
ถึงแม้มันเป็นเพียง 1 คนที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ผมได้ตั้งไว้ แต่อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการทุ่มเทกับการสอนไม่เสียเปล่า อย่างน้อยก็ยังมี 1 คนที่ผมเจอและเค้าได้นำไปปรับใช้ต่อในชีวิตประจำวัน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่เป็นไปตามเป้าหมายของผม เพียงแค่ผมไม่ได้เจอเค้า และเค้าไม่ได้มาบอกผมก็เท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น