ภูมิหลัง
ในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาความวุ่นวายเกิดภายในประเทศอย่างมาก
ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางสังคม
สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็มาจากประชาชนบางกลุ่มยังขาดการเคารพในกฎกติกาของบ้านเมืองไม่เคารพในกฎหมาย
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา รวมไปถึงการที่ประชาชนขาดความมีน้ำใจนักกีฬา
เห็นได้จากปัญหาความรุนแรง ความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬาชนิดต่างๆ
การที่จะทำให้นักเรียนเกิดความมีน้ำใจนักกีฬา
ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเลยคือ การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative
Learning) เป็นการสร้างความสัมพันธ์
และความสามัคคีกันระหว่างผู้เรียนในกลุ่ม ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มไม่ใหญ่เกินไปนัก
และทำให้ผู้เรียนเก่งได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้ที่เรียนอ่อน
จึงเป็นการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมด้านความมีน้ำใจ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น(สุคนธ์ สินทพานนท์; และคณะ.
2545: 46)
จากปัญหาที่เกิดขึ้นสังคมปัจจุบันซึ่งสาเหตุเกิดจากการขาดความมีน้ำใจนักกีฬา
ขาดการอภัยซึ่งกันและกัน
และจากจุดมุ่งหมายหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
โดยเฉพาะในสาระที่ 3 ที่ต้องการพัฒนาจริยธรรมด้านความมีน้ำใจนักกีฬา
ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ (Cooperative
Learning) ที่มีผลต่อความมีน้ำใจนักกีฬาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาแบบร่วมมือที่ต่อความมีน้ำใจนักกีฬาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2. เพื่อเปรียบเทียบผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาแบบร่วมมือที่มีต่อความมีน้ำใจนักกีฬาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม
ความสำคัญของการวิจัย
ผลของการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้จะทำให้ทราบถึงความมีน้ำใจนักกีฬาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือซึ่งเป็นแนวทางให้กับครูผู้สอนในวิชาพลศึกษาได้นำไปพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนและเป็นแนวทางใน
การวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนวิชาพลศึกษาในปีการศึกษา 2556
ภาคเรียนที่ 1 โรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ
เขต 1
จำนวน 60 คน การเลือกโรงเรียนที่ทำการทดลอง
ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนสิริวุฒิวิทยา ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection)
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรอิสระ
(Independent Variable) คือ
◦ การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ(Cooperative Learning)
◦ การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ
ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ ความมีน้ำใจนักกีฬา
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ (Cooperative
Learning)หมายถึง การจัดกาเรียนรู้ในวิชาพลศึกษาที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้
ตามเป้าหมายที่กำหนดเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาทั้ง
5 ขั้นตอนการสอน คือ 1)
ขั้นเตรียม 2) ขั้นพัฒนาสมรรถภาพทางกาย
3)
ขั้นอธิบายสาธิตและฝึกปฏิบัติ 4) ขั้นนาไปใช้ 5) ขั้นสรุป
2.การจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปกติ
วิธีการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ
ประกอบด้วยขั้นตอนการสอน 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียม 2) ขั้นพัฒนาสมรรถภาพทางกาย 3) ขั้นอธิบายสาธิตและฝึกปฏิบัติ 4) ขั้นนำไปใช้ 5) ขั้นสรุป
3.ความมีน้ำใจนักกีฬา หมายถึง ลักษณะต่างๆ ที่มีในตัวของบุคคลเป็นมีคุณธรรมทางด้าน จิตใจและสามารถแสดงออกตามสภาพการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีคุณลักษณะที่สำคัญ 10 ประการ ดังนี้
1. ความยุติธรรม
2. ความมีวินัย
3. ความมุ่งมั่น
4. ความรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย
5. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
6. ความสามัคคี
7. ความอดทน อดกลั้น
8. ความอ่อนน้อมถ่อมตน
9. ความมีมารยาท
2. ความมีวินัย
3. ความมุ่งมั่น
4. ความรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย
5. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
6. ความสามัคคี
7. ความอดทน อดกลั้น
8. ความอ่อนน้อมถ่อมตน
9. ความมีมารยาท
10. ความซื่อสัตย์
สมมุติฐานในการวิจัย
สมมุติฐานในการวิจัย
1. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความมีน้ำใจนักกีฬา
หลังการทดลองของกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือและนักเรียนกลุ่ม
ควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติมีความแตกต่างกัน
2. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความมีน้ำใจนักกีฬา ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือหลังการทดลองแตกต่างกับก่อนการทดลอง
ควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติมีความแตกต่างกัน
2. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความมีน้ำใจนักกีฬา ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือหลังการทดลองแตกต่างกับก่อนการทดลอง
เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2551) ได้จัดทำสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
และอธิบายตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้ พลศึกษา
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกมและกีฬา
เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา
รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬาสาระที่เป็นกรอบเนื้อหาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาประกอบด้วย
1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
2. ชีวิตและครอบครัว
3. การเคลื่อนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทยและกีฬาสากล
ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา
ทั้งประเภทบุคคล และประเภททีมอย่างหลากหลายทั้งไทยและสากล การปฏิบัติกฎ กติกา
ระเบียบ และข้อตกลงในการเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา และความมีน้ำใจ
4. การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
5. ความปลอดภัยในชีวิต
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ใน
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษามี 5 สาระ 6 มาตรฐาน ดังนี้
สาระที่ 1 การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
มาตรฐาน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
สาระที่ 2 ชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคุณค่าตนเอง
ครอบครัว เพศศึกษาและมีทักษะในการดำเนินชีวิต
สาระที่ 3 การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย
การเล่นเกม กีฬาไทยและกีฬาสากล
มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว
กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม และกีฬามาตรฐาน
มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกาลังกาย การเล่นเกม
และการเล่นกีฬา ปฏิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา
มีน้ำใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณในการแข่งขัน และชื่นชมในสุนทรียภาพของการกีฬา
สาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ
สมรรถภาพและการป้องกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ
การดำรงสุขภาพ การป้องกันโรคและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ
สาระที่ 5 ความปลอดภัยในชีวิต
มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุการใช้ยาสารเสพติด และความรุนแรง
กล่าวโดยสรุปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
ในสาระที่ 3 การเคลื่อนไหว การออกกาลังกาย
การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง
ๆ โดยผ่านการเล่นกีฬาไทย กีฬาสากล ทั้งประเภทเดี่ยวและประเภททีม อย่างน้อย 1
ชนิด ผู้เรียนสามารถบอกถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
สมรรถภาพทางกาย และการสร้างเสริมบุคลิก สามารถปฏิบัติตามกฎ กติกา ระเบียบ และได้รับการส่งเสริมความมีน้ำใจนักกีฬาและชื่นชมสุนทรียภาพของการกีฬา
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ทิศนา แขมมณี (2551 : 98 -105) กล่าวว่า
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการที่เหมาะสมวิธีการหนึ่งตามแนวคิดของ Constructivism
ที่ใช้ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
กล่าวคือขณะที่นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันในกลุ่มจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิกของกลุ่มได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากแต่ละคนจะมีวัยใกล้เคียงกันทำให้สามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดีซึ่งจะแตกต่างจากการสื่อสารกับครู
การเรียนแบบร่วมมือร่วมใจกันจึงเริ่มต้นจากการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย
แต่ละกลุ่มมีสมาชิกในจำนวนที่พอเหมาะ (3-4 คน)
เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมใจ ที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดคาบเรียนหรือตั้งแต่ 1 คาบเรียนขึ้นไป เทคนิคเหล่านี้มีลักษณะการจัดกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการ เทคนิคที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) โดยจัดสมาชิกในกลุ่ม 4 คน ระดับสติปัญญาต่างกัน เช่น เก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ผู้สอนกำหนดบทเรียนและการทำงานของกลุ่ม
2. เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Teams – Game Tournament หรือ TGT) เป็นเทคนิคการจัดกลุ่มเช่นเดียวกับ STAD แต่ไม่มีการสอบทุกสัปดาห์ แต่ละทีมที่มีความสามารถเท่ากันจะแข่งขันตอบปัญหา มีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่มอื่นๆ รวมกัน แล้วจัดให้มีการให้รางวัลกับกลุ่มที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้
3. เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Teams Assisted Individualization หรือ TAI) จัดให้สมาชิกของกลุ่ม 4 คนมีระดับความรู้ต่างกัน ใช้สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 3-6 ผู้สอนเรียกผู้เรียนที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอน ความยากง่ายของเนื้อหาวิชาที่สอนแตกต่างกัน ผู้เรียนกลับไปยังกลุ่มของตนและต่างคนต่างทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทุกคนสอบข้อสอบโดยไม่มีการช่วยเหลือกัน มีการให้รางวัลทีมที่ทำคะแนนได้ดีกว่าเดิม
4. เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-6 ทำการสอนทั้งชั้น ผู้เรียนแต่ละคนทำงานตามที่ผู้สอนมอบหมาย คะแนนของแต่ละกลุ่พิจารณาจากผลงานของกลุ่ม
5. เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) สมาชิกในกลุ่มมี 2-6 คน แต่ละกลุ่มเลือกหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาค้นคว้า สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่ม มีการวางแผน การดำเนินงานตามแผน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ การนำเสนอผลงาน หรือรายงานต่อหน้าชั้น การให้รางวัลหรือคะแนนให้เป็นกลุ่ม
6. เทคนิคจิกซอ (Jigsaw) เป็นเทคนิคที่ใช้กับบทเรียนที่หัวข้อที่เรียน แบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ เช่น ประเภทของมลพิษ สามารถแบ่งเป็น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง มลพิษทางน้ำ มลพิษของดิน เป็นต้น
7. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co-op Co-op) ผู้เรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษาแบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้วจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยเป็นหัวข้อเล็ก เพื่อผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษาและมีการกำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่มแล้ว
เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมใจ ที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดคาบเรียนหรือตั้งแต่ 1 คาบเรียนขึ้นไป เทคนิคเหล่านี้มีลักษณะการจัดกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการ เทคนิคที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) โดยจัดสมาชิกในกลุ่ม 4 คน ระดับสติปัญญาต่างกัน เช่น เก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ผู้สอนกำหนดบทเรียนและการทำงานของกลุ่ม
2. เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Teams – Game Tournament หรือ TGT) เป็นเทคนิคการจัดกลุ่มเช่นเดียวกับ STAD แต่ไม่มีการสอบทุกสัปดาห์ แต่ละทีมที่มีความสามารถเท่ากันจะแข่งขันตอบปัญหา มีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่มอื่นๆ รวมกัน แล้วจัดให้มีการให้รางวัลกับกลุ่มที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้
3. เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Teams Assisted Individualization หรือ TAI) จัดให้สมาชิกของกลุ่ม 4 คนมีระดับความรู้ต่างกัน ใช้สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 3-6 ผู้สอนเรียกผู้เรียนที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอน ความยากง่ายของเนื้อหาวิชาที่สอนแตกต่างกัน ผู้เรียนกลับไปยังกลุ่มของตนและต่างคนต่างทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทุกคนสอบข้อสอบโดยไม่มีการช่วยเหลือกัน มีการให้รางวัลทีมที่ทำคะแนนได้ดีกว่าเดิม
4. เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-6 ทำการสอนทั้งชั้น ผู้เรียนแต่ละคนทำงานตามที่ผู้สอนมอบหมาย คะแนนของแต่ละกลุ่พิจารณาจากผลงานของกลุ่ม
5. เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) สมาชิกในกลุ่มมี 2-6 คน แต่ละกลุ่มเลือกหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาค้นคว้า สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่ม มีการวางแผน การดำเนินงานตามแผน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ การนำเสนอผลงาน หรือรายงานต่อหน้าชั้น การให้รางวัลหรือคะแนนให้เป็นกลุ่ม
6. เทคนิคจิกซอ (Jigsaw) เป็นเทคนิคที่ใช้กับบทเรียนที่หัวข้อที่เรียน แบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ เช่น ประเภทของมลพิษ สามารถแบ่งเป็น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง มลพิษทางน้ำ มลพิษของดิน เป็นต้น
7. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co-op Co-op) ผู้เรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษาแบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้วจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยเป็นหัวข้อเล็ก เพื่อผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษาและมีการกำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่มแล้ว
การสุ่มห้องเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
การสุ่มห้องเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
ผู้วิจัยทำการสุ่มห้องเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยการจับฉลากเพื่อกำหนดห้องเรียนกลุ่มตัวอย่าง
เข้าเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ได้ห้องประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 30 คน
เป็นกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ และได้ห้องประถมศึกษาปีที่
6/2 จำนวน 30 คน เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) จำนวน 10 แผน
การสร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูล คือ การสร้างแบบวัดความมีน้ำใจนักกีฬา สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แบบวัดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้านความมีน้ำใจนักกีฬา แบบวัดฉบับนี้ประกอบด้วยข้อคำถาม 60 ข้อ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบพฤติกรรมด้านความมีน้ำใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ตอน ได้แก่ ข้อมูลส่วนตัวและพฤติกรรมความมีน้ำใจนักกีฬา ซึ่งการตอบในครั้งนี้ไม่มีการตัดสินถูกผิดหรือมีผลกับตัวนักเรียน ขอให้นักเรียนตอบตรงกับพฤติกรรมที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด
การเก็บข้อมูล
1. ทำการทดสอบความมีน้ำใจนักกีฬา ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ก่อนการทดลองในสัปดาห์แรก
2. นำผลการทดสอบก่อนการทดลองมาหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ย เพื่อทดสอบว่านักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุม มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความมีน้ำใจนักกีฬาแตกต่างกันหรือไม่
3. จัดกลุ่มให้กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยที่เท่ากัน
4. การดำเนินการทดลอง กลุ่มทดลองผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่สร้างขึ้นจำนวน 10 แผนการจัดการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้สัปดาห์ละ 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 60นาที รวม 10 สัปดาห์
5. กลุ่มควบคุมดำเนินการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติโดยอาจารย์ประจำของโรงเรียน สัปดาห์ละ 1 คาบเรียน รวม 10 สัปดาห์
6. วัดความมีน้ำใจนักกีฬาในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 5
7. หลังสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบร่วมมือหลังสัปดาห์ที่ 10 ผู้วิจัยดำเนินการวัดความมีน้ำใจนักกีฬา ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ทดสอบโดยใช้แบบวัดความมีน้ำใจนักกีฬา ฉบับเดียวกันกับแบบวัดก่อนเรียน
การจัดกระทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
1. วิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนแบบวัดความมีน้ำใจนักกีฬาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
2.1 คำนวณค่าเฉลี่ย ( Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน( SD ) ของความมีน้ำใจนักกีฬาโดยใช้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ โปรแกรม SPSS
2.2 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความมีน้ำใจนักกีฬาระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่ม
คอมพิวเตอร์ โปรแกรม SPSS
2.2 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความมีน้ำใจนักกีฬาระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่ม
ควบคุม ด้วยการทดสอบค่าที (t-test) โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรม SPSS


![]() |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น